Animated Rainbow Nyan Cat

วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560

  การบันทึกครั้งที่ 13
วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2560
เนื้อหาที่เรียน

โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program)
แผน IEP
• แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
• เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
• ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
• โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก
การเขียนแผน IEP
• คัดแยกเด็กพิเศษ
• ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
• ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด 
• เด็กสามารถทำอะไรได้  / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
• แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP
IEP ประกอบด้วย
• ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
• ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
• การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
• เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น•ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของ
แผน
• วิธีการประเมินผล
ประโยชน์ต่อเด็ก
• ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
• ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
• ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
• ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ
ประโยชน์ต่อครู
• เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
• เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
• ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
• เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
• ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ
ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
• ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
• ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
• เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน
ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล
• รายงานทางการแพทย์
• รายงานการประเมินด้านต่างๆ
• บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การจัดทำแผน
• ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
• กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
• กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
• จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
• ระยะยาว
• ระยะสั้น
จุดมุ่งหมายระยะยาว
• กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
– น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
– น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
– น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้
จุดมุ่งหมายระยะสั้น
• ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
• เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
• จะสอนใคร
• พฤติกรรมอะไร
• เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
• พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน
ตัวอย่าง
• ใคร  
• อะไร 
• เมื่อไหร่ / ที่ไหน  
• ดีขนาดไหน 
• ใคร 
• อะไร  
• เมื่อไหร่ / ที่ไหน
• ดีขนาดไหน 
3. การใช้แผน
• เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
• นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
• แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
• จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอ
• ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
1.ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
2.ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
3.อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก
4. การประเมินผล
• โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
• ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล

กิจกรรมในห้อง

1.กิจกรรม มือของฉัน



มือที่ฉันวาด


มือเพื่อนที่ต้องตามหา

               วิธีทำกิจกรรมนี้ ให้วาดมือตัวเอง และใส่ลายเส้น และให้เพื่อนตามหา โดยถ้าเพื่อนตามหาเจอแสดงว่าเก็บรายละเอียด ของการวาดภาพได้ดี

2.กิจกรรมวงกลมหลากสี



วงกลมของฉัน


 ต้นไม้ของห้อง

                  เป็นการทำกิจกรรมที่บ่งบอกลักษณะของตัวบุคลคลผ่านการใช้สี  วงในสุดคือบ่งบอกจิตใจความคิดของส่วนลึกของจิตใจว่าคิดอะไร  วงนอกสุดบ่งบอกสิ่งที่แสดงออกมา






ความรู้ที่ได้รับ
       ได้รับความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program) แผน IEP
การนำไปใช้ 
       การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม  อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน
ประเมิน 
ตนเอง : เรียนตรงเวลาและตั้งใจเรียน และในกิจกรรมสามารถตามหาลายมือเพื่อนได้เป็นของอ้อน
เพื่อน  : ตั้งใจเรียน  เพื่อนตั้งน่าตั้งตาตามหาลายมือของเพื่อน
อาจารย์  : แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีการเตรียมการสอนมาดี และมีกิจกรรมให้ทำในห้อง สนุกสนาน ตื่นเต้นค่ะ




















วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

  การบันทึกครั้งที่ 12
วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2560
เนื้อหาที่เรียน

การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
• เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
• ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด 
• เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)
1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
• เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
• เกิดผลดีในระยะยาว
• เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
• แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล(Individualized Education Program; IEP)
• โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน
2. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
• การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน  (Activity of Daily Living Training)
• การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
• การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)
 3. การบำบัดทางเลือก
• การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
• ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
• ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
• การฝังเข็ม (Acupuncture)
• การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)
การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
• การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies)
• โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS)
• เครื่องโอภา (Communication Devices)
• โปรแกรมปราศรัย




บทบาทของครู
• ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู
• ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
• จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
• ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง 
การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ
1. ทักษะทางสังค
•เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
•การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข
กิจกรรมการเล่น
• การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
• เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
• ในช่วงแรกๆ เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน  แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง
ยุทธศาสตร์การสอน
• เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น  ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
• ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
• จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
• ครูจดบันทึก
• ทำแผน IEP
การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
• วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
• คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
• ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
• เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน “ครู” ให้เด็กพิเศษ
ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่
• อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
• ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
• ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
• เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
• ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม
การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
• ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
• ทำโดย “การพูดนำของครู”
ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
• ไม่ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
• การให้โอกาสเด็ก
• เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
• ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง
2. ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
• เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
• ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
• ถามหาสิ่งต่างๆไหม
• บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
• ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม
การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด
• การพูดตกหล่น
• การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
• ติดอ่าง
การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
• ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
• ห้ามบอกเด็กว่า  “พูดช้าๆ”   “ตามสบาย”   “คิดก่อนพูด”
• อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
• อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
• ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
• เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน
ทักษะพื้นฐานทางภาษา
• ทักษะการรับรู้ภาษา
• การแสดงออกทางภาษา
• การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด
ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
• การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
• ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
• ให้เวลาเด็กได้พูด
• คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
• เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
• เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว
• ให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม เด็กพิเศษได้มีแบบอย่างจากเพื่อน
• กระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง (ครูไม่คาดการณ์ล่วงหน้า)
• เน้นวิธีการสื่อความหมายมากกว่าการพูด
• ใช้คำถามปลายเปิด
• เด็กพิเศษรับรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งพูดได้มากเท่านั้น
• ร่วมกิจกรรมกับเด็ก
3. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง
เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด
- การกินอยู่ 
- การเข้าห้องน้ำ 
- การแต่งตัว 
- กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน
การสร้างความอิสระ
• เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
• อยากทำงานตามความสามารถ
• เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่
ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
• การได้ทำด้วยตนเอง
• เชื่อมั่นในตนเอง
• เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี
หัดให้เด็กทำเอง
• ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น (ใจแข็ง)
• ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป
• ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ
•“ หนูทำช้า ”  “ หนูยังทำไม่ได้ ”
จะช่วยเมื่อไหร่
• เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร , หงุดหงิด , เบื่อ , ไม่ค่อยสบาย
• หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
• เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
• มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม 
ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
• แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
• ย่อยงาน
• เรียงลำดับตามขั้นตอน
การเข้าส้วม
• เข้าไปในห้องส้วม
• ดึงกางเกงลงมา
• ก้าวขึ้นไปนั่งบนส้วม
• ปัสสาวะหรืออุจจาระ
• ใช้กระดาษชำระเช็ดก้น
• ทิ้งกระดาษชำระในตะกร้า
• กดชักโครกหรือตักน้ำราด
• ดึงกางเกงขึ้น
• ล้างมือ
• เช็ดมือ
• เดินออกจากห้องส้วม
สรุป
• ครูต้องพยายามให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
• ย่อยงานแต่ละอย่างเป็นขั้นๆ
• ความสำเร็จขั้นเล็กๆนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
• ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง
• เด็กพึ่งตนเองได้ รู้สึกเป็นอิสระ

4.ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
เป้าหมาย
• การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้ 
• มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
• เด็กรู้สึกว่า “ฉันทำได้”
• พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น
• อยากสำรวจ อยากทดลอง
ช่วงความสนใจ
• ต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่นๆ
• จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร
การเลียนแบบ
การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
• เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
• เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
• คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่
การรับรู้ การเคลื่อนไห
• ได้ยิน เห็น สัมผัส ลิ้มรส กลิ่น
• ตอบสนองอย่างเหมาะสม
การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
• การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
• ต่อบล็อก
• ศิลปะ
• มุมบ้าน
• ช่วยเหลือตนเอง
ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเด็กพิเศษ
• ลูกปัดไม้ขนาดใหญ
• รูปต่อที่มีจำนวนชิ้นไม่มาก
ความจำ
• จากการสนทนา
• เมื่อเช้าหนูทานอะไร
• แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
• จำตัวละครในนิทาน
• จำชื่อครู เพื่อน
• เล่นเกมทายของที่หายไป
การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
• จัดกลุ่มเด็ก
• เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
• ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
• ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
• ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
• ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
• บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด
• รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนงาน
• มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ
• เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง
• พูดในทางที่ดี
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว
• ทำบทเรียนให้สนุก






ความรู้ที่ได้รับ
       ได้รับความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
การนำไปใช้ 
       การที่จะให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษทำงานได้สำเร็จต้องคอนยกำกับควบคุมและเปลี่ยนวัสดุเรื่อยๆเพื่อดึงความสนใจ
ประเมิน 
ตนเอง : เรียนตรงเวลาและตั้งใจเรียน 
เพื่อน  : ตั้งใจเรียน  ให้ความร่วมมื่อในการเล่นบทบาทสมมุติ
อาจารย์  : แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีการเตรียมการสอนมาดี และมีกิจกรรมให้ทำในห้อง



วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

  การบันทึกครั้งที่ 11
วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2560
เนื้อหาที่เรียน

การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

รูปแบบการจัดการศึกษา
-การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
-การศึกษาพิเศษ (Special Education)
-การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
-การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
-เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
-การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป 
-มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
-ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
-ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) 
-การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
-เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ 
-เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้ 

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming) 
-การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน 
-เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
-การศึกษาสำหรับทุกคน
-รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา 
-จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

Wilson , 2007
-การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก 
-การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
-กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้ 
-เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
 "Inclusive Education is Education for all, It involves receiving people at the beginning of their education, with provision of additional services needed by each individual"

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
-เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
-เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
-เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน  (Education for All)
-การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
-เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
-เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน 
-ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก

ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม สำหรับเด็กปฐมวัย
-ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
-“สอนได้”
-เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด

บทบาทครูปฐมวัย ในห้องเรียนรวม
ครูไม่ควรวินิจฉัย
-การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
-จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
-ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
-เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
-ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
-เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
-พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
-พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
-ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
-ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
-ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา

ครูทำอะไรบ้าง
-ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
-ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย

สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
-จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ

สังเกตอย่างมีระบบ
-ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
-ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
-ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
-จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
-เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
-บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
-ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
-ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
-พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

การบันทึกการสังเกต
-การนับอย่างง่ายๆ
-การบันทึกต่อเนื่อง
-การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

การนับอย่างง่ายๆ
-นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
-กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
-ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

การบันทึกต่อเนื่อง
-ให้รายละเอียดได้มาก
-เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
-โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
-บันทึกลงบัตรเล็กๆ
-เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง

การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
-ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
-พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ

การตัดสินใจ
-ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
-พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่


กิจกรรมการสังเกตุวาดดอกบัว






ความรู้ที่ได้รับ
       ได้รับความเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
การนำไปใช้ 
       การสังเกตุที่ดี  ไม่ควรใส่ความรู้สึกลงไป ในการสังเกตุ และไม่ควรใส่อารมณ์
ประเมิน 
ตนเอง : เรียนตรงเวลาและตั้งใจเรียน ตั้งใจวาดรูป และตื่นเต้นว่าอาจารย์ให้วาดทำไม 
เพื่อน  : ตั้งใจเรียน  ตั้งใจวาดรูป
อาจารย์  : แต่งกายสุภาพเรียบร้อย มีการเตรียมการสอนมาดี และมีกิจกรรมให้ทำในห้อง



วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

  การบันทึกครั้งที่ 10
วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2560

***ในวันนี้อาจารย์ได้ทดสอบกลางภาควิชาการจัดประสบการณ์เรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559